โครงข่ายระบบรางในประเทศญี่ปุ่นมีระยะทางรวมกันมากถึง 28,000 กิโลเมตร ในนั้นจะแบ่งได้สองกลุ่มใหญ่ๆ คือ Japan Railways (JR) กับ รถไฟเอกชนอื่นๆ โดย JR เพียงอย่างเดียวมีระยะทางรวมทั้งหมดประมาณ 19,000 กิโลเมตร
ถ้าพูดจริงๆ สถานะปัจจุบันของ JR ก็เกือบเป็นเอกชนเต็มตัว แต่ด้วยความที่ภูมิเดิมของ JR คือ Japanese National Railways (JNR) ที่เชื่อมต่อกันทั้งประเทศ และแยกตัวออกมาเป็น 6 ภูมิภาค และเดินรถสินค้า (JRF) ในปี 1987 ทุกวันนี้ก็ยังมี Japan Rail Pass ที่ใช้ได้กับ JR ทั้งประเทศ เราเลยมักแยก JR กับรถไฟเอกชนอื่นๆ ออกจากกัน
เรียนญี่ปุ่น 10 ปี ... (อ่านเรื่องเต็มได้ที่นี่)
ระหว่างปี 2013 จนถึงปี 2024 ผมเรียนที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นระยะเวลาทั้งหมด 10 ปีครึ่ง รถไฟก็เป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมอยากมาญี่ปุ่นตั้งแต่แรก แต่งานอดิเรกรถไฟก็มีหลายประเภท ตอนนั้นก็ไม่ได้ชอบการนั่งรถไฟขนาดนั้น ชอบถ่ายรูปรถไฟ ชอบอะไรที่เกี่ยวกับตัวรถไฟมากกว่า มีบางครั้งที่นั่งรถไฟชมวิวรอบโตเกียวบ้าง...
โครงข่ายรถไฟ JR ในโตเกียวและปริมณฑลนั้นซับซ้อน เชื่อมเป็นวงกันไปหมด แม้แต่คนญี่ปุ่นก็งง เขาเลยออกกฎการคำนวณค่าโดยสารรถไฟ JR ในโตเกียวและปริมณฑลว่า ให้คิดจากระยะทางที่สั้นที่สุดจากสถานี A ไป B สมมติว่านั่งรถไฟจาก Shibuya ไป Shinjuku ก็นั่ง Yamanote Line ตรงๆ เพียง 4 สถานี หรือจะวิ่งวงกลมคนละฝั่งอ้อมไปทาง Shinagawa / Ueno ชมวิว 26 สถานีก็ได้ เขาก็คิดตังแค่ระยะ 4 สถานี ไม่มีการกำหนดเวลา หรือจะบ้าหน่อย จาก Shibuya ออกไปถึง Kawasaki แล้วนั่งรถไฟชานเมืองวงแหวนรอบนอก Nambu Line จนถึง Tachikawa แล้วต่อ Chuo Line Rapid กลับมา Shinjuku เขาก็ยังคิดค่าโดยสารแค่ 4 สถานีเท่านั้น
นั่งอ้อมเท่าไหร่ก็คิดแค่ระยะสั้นสุด ก็นั่งชมวิวทั่วเมืองเลยสิครับรออะไร !!!
กับบางครั้งเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดใกล้ๆ นั่งมองแผนที่เส้นทางรถไฟแล้วเจอเห็นสายอ้อมๆ อีกสายก็ถึงไปได้เหมือนกัน เลยลองวางแผนเที่ยวที่ขาไปกับขากลับนั่งรถไฟคนละเส้นทางกันบ้าง ก็เริ่มสะสมไมล์มาตั้งแต่ตอนนั้น... แต่ไม่เคยตั้งใจสะสมไมล์จริงจัง แค่อยากสำรวจเส้นทางใหม่ๆ เท่านั้น
4 ปีแรกผมเรียนที่โตเกียว จากนั้นผมไปเรียนต่อที่ Fukuoka ในภูมิภาค Kyushu ซึ่งก็ห่างจากโตเกียวมากพอสมควร ตอนนั้นผมก็เริ่มคิดว่าถ้าย้ายไป Fukuoka แล้วจะมาเที่ยวรอบๆ โตเกียวได้ยากขึ้น ตอนนั้นเลยเริ่มเก็บไมล์พวกเส้นทางรถไฟที่ใกล้ๆ โตเกียว นั่นเป็นครั้งแรกที่ใช้ตั๋ว Seishun 18 Ticket ที่นั่งได้แต่รถไฟธรรมดา&รถเร็ว นั่งไปไกลถึง Iida Line ในหุบเขาของจังหวัด Aichi, Shizuoka, Nagano
สุดท้ายก็ไม่ได้นั่งจนครบทั้งรอบโตเกียว และตอนนั้นก็ยังไม่เคยคิดเลยว่าจะนั่งรถไฟให้ทั่วทั้งญี่ปุ่น
แต่การได้ย้ายไป Kyushu เป็นการเปิดโลกกว้างให้กับตัวเอง เพราะไม่ใช่แค่ได้เปิดสถานที่ใหม่ สักพักนึงเมื่อคิดถึงโตเกียว อยากกลับไปหาเพื่อนที่โตเกียว ก็อยากลองนั่งรถไฟจาก Kyushu ไปโตเกียว นั่งรถนอน Sunrise Express บ้าง บางทีก็ใช้ตั๋ว Seishun 18 Ticket นั่งรถธรรมดาแวะระหว่างทางไปเรื่อย
อีกอย่างหนึ่งคือตอนที่ผมอยู่โตเกียวนั้นผมยังเป็นเด็ก ม.ปลาย เลยไม่สามารถไปเที่ยวค้างคืนไกลๆ ได้ เมื่อเป็นเด็กมหาลัยแล้วจึงปลดล็อก เริ่มไปค้างคืนหลายๆ ที่
กุมภาพันธ์ 2020 ปิดเทอมฤดูหนาวพอดีเลยไปเที่ยวฮอกไกโดครั้งแรก ตอนนั้นมีทางรถไฟสาย Sassho line กำลังจะถูกยกเลิกบางส่วน จึงได้มีโอกาสไปนั่งส่งท้าย ถือว่าโชคดีมากในตอนนั้น เนื่องจากแผนการยกเลิกเดิมคือพฤษภาคม 2020 แต่เพราะสถานการณ์โรคระบาด เลยถูกปิดไปโดยปริยายตั้งแต่เมษายน...
พูดถึงเรื่องทางรถไฟที่ถูกยกเลิก ในแต่ละปีชนบทญี่ปุ่นจะมีทางรถไฟที่ถูกยกเลิกไปทีละเส้นๆ ก็เข้าใจได้เพราะประชากรในชนบทของญี่ปุ่นลดลงอย่างต่อเนื่อง ตลอด 10 ปีที่อยู่ในญี่ปุ่นก็ได้เห็นเส้นทางรถไฟหลายสายถูกยกเลิกไป แต่ผมก็ไม่ได้มีเวลาไปตามเก็บแต่ละสาย แอบเสียดายเล็กๆ เหมือนกัน
coวิด-19 ... พลิกวิกฤติเป็นโอกาส
ตอนนั้น coวิด-19 ทำให้เราถูกจำกัดการเดินทาง ผมเองก็ไม่ได้กลับไทยเป็นเวลา 3 ปีเต็ม แต่จริงๆ ช่วงนั้นกลับเป็นนาทีทอง เพราะมีช่วงที่สถานการณ์เบา แต่ก็ยังไม่มีนักท่องเที่ยวทำให้เศรษฐกิจซบเซามาก ราคาของที่พักลดฮวบ รัฐบาลญี่ปุ่นก็พยายามผลักดันให้คนออกมาเที่ยวในประเทศ ออกนโยบายสนับสนุนต่างๆ (แม้ว่าจะมี conflict ว่าเป็นการส่งเสริมให้เพิ่มการระบาดในบางระลอก บลาๆๆ) เช่น Gift Voucher หรือแม้แต่ Free Pass ที่มีราคาถูกมาก แม้แต่การปล่อย Free Pass บางตัวที่ใช้ได้เฉพาะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ให้ชาวต่างชาติที่อยู่ในญี่ปุ่นใช้ได้ด้วยเช่นกัน
ผมจึงใช้โอกาสนี้ไปเที่ยวเพื่อนั่งรถไฟเก็บเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นภายในคิวชูหรือทางตะวันตก ผมสามารถเก็บ JR Kyushu ได้ครบในช่วงหน้าร้อนปี 2020 ตามด้วย JR West ในช่วงใบไม้ผลิปี 2021 JR Shikoku ในหน้าร้อน และ JR Central ในช่วงปลายปี 2021
ผมเรียน ป.ตรี จบเมื่อเดือนมีนาคม 2022 ในตอนนั้นผมนั่ง JR ไปได้คิดเป็นระยะทาง 80% ของทั้งหมด อีก 20% ที่เหลือเหมือนจะง่าย แต่คราวนี้โคตรหิน เพราะเหลือฝั่ง Hokkaido กับ East Japan เป็นส่วนใหญ่ เพียงแค่เดินทางจาก Kyushu เพื่อมาฝั่งตะวันออก ก็เสียเวลาและค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก
ทำให้บางทีก็ย้อนกลับไปถามตัวเองว่า ทำไมตอนอยู่โตเกียวไม่นั่งรถไฟให้เยอะกว่านี้ จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาและค่าใช้จ่ายเพื่อกลับมาซ้ำๆ ที่เดิมอีก แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะตอนนั้นยังไม่ได้อินกับการนั่งรถไฟเที่ยว ไม่เคยคิดอยากนั่งให้ครบ และยังไม่กล้าพอที่จะเที่ยวค้างคืนคนเดียวตอนเป็นเด็ก ม.ปลาย
จริงๆ เขาก็ไม่ได้มีประกาศนียบัตร รางวัล หรือปลดล็อกไอเทมรถไฟทองคำอะไรเลยว่านั่งรถไฟครบทั้งญี่ปุ่นแล้ว ฉะนั้นผมก็ไม่จำเป็นจะต้องนั่งรถไฟให้ครบทั้งประเทศญี่ปุ่นหรอก
แต่ก็มาถึงขนาดนี้แล้วจะปล่อยทิ้งไว้ก็เสียดาย จึงวางแผนไปเรื่อยๆ เก็บให้ได้มากที่สุดเท่าที่มีวันหยุดในมหาลัย ในขณะเดียวกันก็พยายามไม่ให้ค่าใช้จ่ายในการเที่ยวบานปลายไปมากกว่านี้
เหลือ Hokkaido หรือ East Japan ไว้เป็นภาคสุดท้าย...
ฮอกไกโดเป็นดินแดนอันกว้างใหญ่และรถไฟมีน้อย คนญี่ปุ่นเองก็บอกว่านั่งรถไฟครบฮอกไกโดนั้นท้าทาย แต่จริงๆ ถ้าวางแผนดีๆ ก็ใช้เวลาไม่นานมาก ผมเลยตัดสินใจเก็บ Hokkaido ให้จบเสียก่อน แล้วเหลือ East Japan โดยเฉพาะ Tohoku ไว้ปิดท้าย ช่วงปี 2020-22 ได้ไปเที่ยวฮอกไกโดประมาณสองครั้งก็ได้เก็บไปบางส่วน และเก็บส่วนสุดท้ายคือ Nemuro ที่อยู่ตะวันออกสุดๆ ของฮอกไกโดในช่วงเดือน พ.ย. 2023 ก่อนวันสุดท้ายบังเอิญหิมะตกพอดี แต่สมกับเป็นฮอกไกโด รถไฟฮอกไกโดไม่ท้อถอยแม้วันที่หิมะตกหนาเป็นสิบเซนติเมตร
ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ภูมิภาค Tohoku ซึ่งความจริงคือ Tohoku มีเส้นทางรถไฟซับซ้อนกว่า Hokkaido เพราะแยกออกมาเป็นแฉกๆ ทำให้ต้องคิดว่าจะนั่งยังไงให้ใช้เวลาน้อยที่สุด ไม่ต้องนั่งซ้ำไปซ้ำมา และไม่ต้องเปลี่ยนที่พักบ่อยๆ
แต่ตอนนั้นผมต้องเตรียม Thesis ป.โท ด้วย ผมจึงพักเรื่องเที่ยวไว้ก่อน แล้วหลังทำ Thesis จบช่วงปลายเดือนกุมภา - ต้นมีนา ค่อยว่ากัน (ซึ่งจริงๆ ตอนนั้นก็ยุ่งเรื่องเตรียมกลับประเทศไทยนะ แต่เลือกแล้วว่าเป็นเวลาที่เหมาะที่สุด...)
การเดินทางเที่ยวสุดท้าย...
28 กุมภาพันธ์ 2567
ผมต้องเริ่มคิดตั้งแต่การเดินทางจาก Kyushu ไป Tohoku ซึ่งจริงๆ จะหาสายการบินในประเทศก็ได้ แต่อะไรสักอย่างดลใจให้ผมนั่งรถนอน Sunrise ไปจนถึงโตเกียว เมื่อถึงโตเกียวตอนเจ็ดโมงเช้าก็พักสักนิด แล้วนั่งรถไฟชินคันเซ็น+รถไฟธรรมดาต่อไปเรื่อยจนถึง Aomori โดยแผนของผมคือเก็บทางรถไฟที่ยังไม่เคยนั่งลงมาเรื่อยๆ จาก Aomori Morioka จนถึง Miyagi
29 กุมภาพันธ์ 2567
ทว่าหิมะตกหนักสะสมตั้งแต่วันก่อน รถไฟในจังหวัด Aomori เกือบจะหยุดวิ่ง เตรียมใจไว้แล้วเหมือนกันว่าถ้าไม่สำเร็จก็คงต้องยอม แต่โชคก็เข้าข้างในวันพิเศษที่ 4 ปีมี 1 ครั้ง รถไฟเปิดให้บริการตามปกติในเช้าวันนั้นพอดี มีเส้นทางสาย Sanriku Railway บางส่วนที่ถูกปิดเพราะยังเคลียร์หิมะไม่หมด แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะไม่ได้เป็น JR Line สายเอกชนไว้เป็นโบนัส
1 มีนาคม 2567
เก็บสาย JR ในจังหวัด Morioka จนหมด
2 มีนาคม 2567
ตอนแรกก็ลังเลใจอยู่สักพักว่าสายไหนจะเป็นสายสุดท้าย แต่ก็มาเจอกับ JR Ishinomaki line ช่วง Ishinomaki กับ Onagawa ในจังหวัด Miyagi ซึ่งจริงๆ ผมเคยมาเที่ยว Ishinomaki ตอนอยู่ ม.ปลาย ตอนนั้นเป็นจุดที่ตัวเองกล้าเดินทางคนเดียวได้ไกลที่สุดแล้วในขณะนั้น
Ishinomaki และ Onagawa เป็นหนึ่งในเมืองท่าของจังหวัด Miyagi ที่ได้รับความเสียหายหนักเมื่อปี 2011 แต่ก็กลับมาฟื้นฟูได้ ทำให้ผมมีความสนใจใน Tohoku ตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งตอนนั้นก็อยากลองไปทั้ง Ishinomaki และ Onagawa แต่เพราะเวลารถไฟไม่ลงตัว เลยไปแค่ Ishinomaki เหลือ Onagawa ค้างไว้
ถ้าจะบอกว่า Ishinomaki เป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราอยากนั่งรถไฟเที่ยว ก็แปลกใจเหมือนกันว่าเส้นชัยในการนั่งรถไฟเที่ยวทั่วญี่ปุ่นของเรานั้น กลับมาใกล้ๆ จุดเริ่มต้นนี่เอง...
2 มีนาคม 2567 - เที่ยงสี่สิบเก้านาที
ก่อนถึงสถานี Onagawa รถไฟวิ่งเลียบอ่าวเล็กๆ เห็นทะเลด้านหน้า เนินเขาอยู่ข้างหลัง เป็นภาพที่ดูแล้วสงบมาก แต่ก็มีพลังมาก เมืองที่เคยได้รับความเสียหายอย่างหนักจากภัยธรรมชาติ ได้รับการฟื้นฟูและกลับมามีสีสันเหมือนเดิม วันที่ผ่านๆ มาฝนตกหิมะตกสภาพอากาศแปรปรวน แต่วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส การเดินทางตลอด 10 ปีที่ผ่านมาก็เจอวันที่แปรปรวนมามากมาย และในอีก 1 นาทีการเดินทางล่าฝันอันยาวนานกำลังจะถึงสถานีปลายทางแล้ว…
จากหน้าสถานี Onagawa เป็นถนนตรงไปจนเห็นทะเล ยืนมองทะเลและท้องฟ้าที่สดใสมากๆ ในตอนนั้นแล้วพูดในใจกับตัวเองว่าเราทำมันสำเร็จแล้ว
อย่างที่บอกไป ไม่มีรางวัลอย่างเป็นทางการอะไรสำหรับคนที่ "ประกาศตัวเอง" ว่านั่งรถไฟ JR ครบทั้งประเทศแล้ว หรือแม้แต่คนที่รับรองได้จริงๆ ว่า "นั่งรถไฟครบแล้ว" ถ้าจะตะโกนตรงนั้นก็คงโดนคนมองว่าบ้า คงได้เพียงแต่เก็บความทรงจำนี้ไว้ในใจ
ทางรถไฟชินคันเซ็นสายใหม่ - Hokuriku Shinkansen
ให้หลังจากนั้นสองสัปดาห์ 16 มีนาคม 2567 Hokuriku Shinkansen ได้ขยายเส้นทางจาก Kanazawa ไปยัง Tsuruga ซึ่งผมเหลือเวลาอีกเพียง 10 วันก่อนที่จะบินกลับไทยอย่างถาวร ผมก็คิดหนักเหมือนกันว่าผมจะต้องเก็บ Hokuriku Shinkansen ด้วยหรือไม่ เพราะเมื่อผมนั่ง JR ครบไปแล้วตั้งแต่ก่อน Hokuriku Shinkansen จะเปิด ถือว่าผมได้นั่งครบแล้ว ณ เวลานั้น ก็ไม่จำเป็นต้องไปนั่งเพิ่ม...
บางคนอาจจะมองว่างานอดิเรกบางอย่างก็เป็นอะไรที่บ้าคลั่งหรือท้าทาย แต่เมื่อเราทำอะไรสักอย่างจนสำเร็จร้อยเปอร์เซนต์ มันก็เป็นความภาคภูมิใจในตัวเรา ประกอบกับประสบการณ์ที่เก็บมาตลอดทางนั้นมีค่าอย่างยิ่ง เพราะทางรถไฟบางเส้นก็คงไม่มีเขียนไว้ในหนังสือนำเที่ยวที่ไหนเลย...
WORKETA
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น